อรรถธิบาย กัจจานโคตรสูตร

ท่านกัจจานโคตตะได้ทรงเรียนถามพระพุทธองค์ถึงสัมมาทิฐิ ว่าอะไรคือสัมมาทิฐิที่สำคัญที่สุด

พระพุทธองค์ได้ทรงตอบว่า
โลกนั้นย่อมปรากฏขึ้นเนื่องเพราะความหลงผิดอันสุดโต่งสองด้าน คือ
ความมีอยู่อย่างจริงแท้ และความไม่มีอยู่(แบบดับสูญ)

หากบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาญาณ ในการปรากฏขึ้นเพราะกระแสเหตุปัจจัยของโลก(โลกสมุทยํ)ตามเป็นจริง
ความเห็นผิดเรื่อง “ความไม่มีอยู่” นั้นย่อมไม่เกิดขึ้น
และหากบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาญาณ ในความเสื่อมสลายไปของโลก(โลกนิโรธํ)ตามเป็นจริง
ความเห็นผิดเรื่อง “ความมีอยู่อย่างจริงแท้” นั้นย่อมไม่เกิดขึ้น

โลกนั้น ถูกร้อยลัด ถูกผูกมัดไว้ด้วย ความหลงยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตน
ผู้ที่แจ้งชัดในสัมมาทิฐินี้ จะไม่หลงในความสุดโต่งทั้งสอง ไม่หลงยึดติด ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆ
เพราะเห็นแจ้งในความเป็นเพียงมายาของกระแสเหตุปัจจัย

มันไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากกระแสเหตุปัจจัยแห่งทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น และดับไป
ซึ่งกระแสนั้นก็มิได้มีความเป็นอัตตาตัวตนใดๆทั้งสิ้น

แล้วกระแสเหตุปัจจัยแห่งทุกข์นั้นคืออะไร

พระพุทธองค์ก็ได้ทรงขยายความว่า
กระแสเหตุปัจจัยนั้นก็คือปฏิจจสมุปบาท กระแสเหตุปัจจัยที่อิงอาศัยกัน ประกอบกันจนทำให้ดูเหมือนกับว่ามันมีอยู่จริง

เมื่อมีอวิชชาความหลงในความสุดโต่งทั้งสอง โลกทั้งสามอันเต็มไปด้วยกองทุกข์ย่อมปรากฏ(โลกสมุทยํ)
แต่บนความปรากฏ โดยจริงแท้แล้วมันก็เป็นเพียง กระแสเหตุปัจจัย อันว่างเปล่าจากตัวตนใดๆ

เมื่อไม่มีอวิชชา ประกอบจิต โลกทั้งสามย่อมไม่ปรากฏ (โลกนิโรธํ) กองทุกข์ทั้งปวงย่อมไม่มี
แต่บนความไม่ปรากฏนั้น ไม่ใช่ความดับสูญ แบบไม่มีสิ่งใดเลย
มันย่อมมีกระแสเหตุปัจจัยอันเป็นมายา ว่างเปล่าจากตัวตน แผ่กระจายอยู่ทั่ว ด้วยความเป็นหนึ่งเดียว
เป็นธรรมชาติอันเป็นพื้นฐานดั้งเดิมที่ไร้การเกิด และเป็นของมันเองอยู่เช่นนั้น

ทางสายกลาง ปฏิจจสมุปบาท และสุญญตา ล้วนคือสิ่งเดียวกัน.ซึ่ง คือหนทางแห่งความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง

จากธรรมชาติดั้งเดิมอันคือการประสานกันเป็นหนึ่งระหว่างความตื่นรู้อันใสกระจ่างและความว่าง
เมื่อถูกอวิชชาความหลงอันสุดโต่งทั้งสองเข้าครอบงำ ความมีอยู่ของปรากฏการณ์ที่รับรู้นั้นย่อมบังเกิดขึ้น
และเมื่อความหลงนั้นถูกปรุงแต่งต่อเติมมากขึ้น ความเป็นเราของเราก็ปรากฏตามมา(สักกายะทิฐิ)
แต่ทั้งหมด ไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากโดยแก่นแท้แล้ว มันก็เป็นเพียงความตื่นรู้อันว่างเปล่าเท่านั้น

หากไม่สามารถเห็นแจ้งในความจริงแท้อันเป็นรากฐาน นี้ได้
มิจฉาทิฐิในความสุดโต่งทั้งสองย่อมยังคงครอบงำจิต
เมื่อจิตถูกครอบงำด้วยความมัวหมองเช่นนั้น
โลกทั้งสามก็ยังคงดำเนินต่อไป เป็นกองทุกข์อันเป็นมายาอันว่างเปล่า เท่านั้นเอง

Comments are closed