มนุษย์เราชอบฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ 3 สิ่ง จึงทำให้ตัวเองเป็นทุกข์อยู่เป็นประจำ ซึ่ง 3 สิ่งนั้นคือ
- เราชอบหลงคิดว่าเราเข้าใจคนอื่น
- เราชอบหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเรา
- เราชอบหลงว่าเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้
แทนที่จะทำให้ตัวเองทุกข์เช่นนั้น เราควรจะทำในสิ่งตรงข้ามคือ
- จงศึกษา ทำความเข้าใจตนดีกว่า
- อย่าได้หวังให้ใครเข้าใจเราเลย เราเองยังเข้าใจตัวเราไม่ดีพอเลย
- จงคิดที่จะเปลี่ยนตัวเองดีกว่าที่จะไปเปลี่ยนคนอื่น
แล้วชีวิตเราจะมีความสุขขึ้น
ขณะที่รู้อยู่นี่ล่ะ สมบูรณ์ที่สุดแล้ว
รูป เจตสิก จิต ปรากฎ ไม่ต้องปรุงแต่งต่อเติมอะไรลงไปอีก
ปล่อยให้มันปรากฎแล้วก็ผันแปรไป
แค่เพียงรู้เท่าทัน ก็เท่านั้นเอง
แล้ว พระกาย วาจา ใจ อันบริสุทธิ์ของพระบรมครู จะเป็นหนึ่งเดียวกับเรา
ขยันพากเพียรกันให้ได้นะ
แล้วอะไรล่ะ ที่ผลักดันให้เราไม่รู้เท่าทันปัจจุบัน จนหลงปรุงแต่งกันมากมาย
ก็ความหลงยึดติดในโลกธรรมทั้งหลายนั่นล่ะ
ดังนั้นจงหมั่นพิจารณาให้มากจนจิตมันยอมรับในความไร้สาระของโลกธรรม จนมันเกิดความเบื่อหน่ายคลายความทะยานอยากลง และหมั่นเจริญสติรู้ตัวอยู่เสมอ
เมื่อไม่มีอะไรมากระตุ้น เผารน หรือยั่วยวนอยู่ภายใน สติปัญญาก็จะค่อยคืนสู่ธรรมชาติเดิมของมันเอง
แล้วความยึดติดในโลกธรรมมันแสดงออกอย่างไรล่ะ
ก็ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ของเรานั่นล่ะ
การปล่อยวางโลกธรรมไม่ใช่การที่เราจะหนี หรือไม่ใช้โลกธรรมเลย
แต่หมายถึงการเข้าใจความจริงของโลกธรรมจนใจมันยอมรับและไม่ยึดติดใดๆในโลกธรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเอาไว้หรือผลักไส
แล้วหลังจากนั้น เราจะมีอิสระในการที่จะเลือกใช้เลือกปรุงอย่างไรก็ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
โดยภายในไม่ยึดติดอะไรทั้งสิ้นแม้ประโยชน์นั้นด้วย
ซึ่งแน่นอน มันย่อมไม่มีตัณหาความอยากได้ ดี มี เป็นอะไรอีก ผลักไสอยู่ภายใน
นี่ล่ะตัณหามันดับ เพราะสิ้นอวิชชา ซึ่งคือความเป็นกลางอันนอกเหนือการปรุงแต่งทั้งปวง
อย่าลืมสิว่า ที่สุดแล้วคือการนอกเหนือ นอกเหนือคืออิสระ อิสระคือความเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งจึงไม่มีการเอาไว้หรือผลักไสปฏิเสธ
เจริญธรรม
อาจารย์หมอ
Comments are closed